ไปมาแล้วครับ
ทุ่งทานตะวัน
เดี๋ยวจะหาว่าเป็นบุคคลยอดเชยประจำพอศอนี้เลยต้องรีบไปซะก่อนหลังจากได้ข่าวจากเพื่อนๆว่ากำลังจะเริ่มโรยรากันไปเยอะแล้ว
และก็ได้ข่าวมาอีกเหมือนกันว่า
วันหยุดเสาร์-อาทิตย์นักท่องเที่ยวจะแน่นขนัดมากมายจนเกินสนุก
โดยเฉพาะถ้าจะไปถ่ายภาพด้วยแล้ว
มักจะได้ของแถมมาในภาพคือ
จะเห็นหัวหรือบางทีทั้งตัวผลุบๆโผล่ๆอยู่กระจัดกระจายเต็มทุ่งเชียวละครับ
เมื่อได้ข้อมูลมาอย่างนี้ผมก็เลยตัดสินใจ
ไปมันวันธรรมด๊า
ธรรมดาดีกว่า
ว่าแล้วก็เริ่มวางแผนโดดงานได้ฤกษ์งามยามปลอดเอาเมื่วันพุธที่
22 ธค. ที่ผ่านมา
เวลาน้อยอย่างนี้ต้องขับรถไปเอง
หลังจากส่งลูกเข้าโรงเรียนเรียบร้อยแล้วก็บ่ายหน้าออกจากกรุงเทพฯทันที
มาถึงรังสิตราวๆ7โมงถนนค่อนข้างโล่งดีครับเลยทำเวลาได้ดีหน่อย
ผมใช้เส้นทางจากตัวเมืองสระบุรีไปทางลพบุรีจนมาถึงแยกพุแค
เลี้ยวขวาที่มีป้ายบอกทางไปจ.เพชรบูรณ์และอ.พัฒนานิคมนั่นละครับ
เลี้ยวมาได้ไม่นานก็เริ่มพบทุ่งทานตะวันเล็กๆเป็นระยะๆมาเรื่อย
ขับมาอีกหน่อยพบทางแยกขวามือมีป้ายใหญ่เบ้อเร่อบอกว่า"ทางลัดไปเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์"
ลองดูๆแล้วเห็นว่าถนนดีพอควรเลยเลี้ยวขวาตรงนี้
ไม่ผิดหวังครับ
เลี้ยวเข้ามาได้หน่อยเดียวก็พบทุ่งทานตะวันที่ขนาดค่อนข้างกว้างใหญ่
ดอกยังสดและโตสวยมากแถมทุ่งนี้มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะทำให้ถ่ายภาพออกมาแล้วจะดูดีกว่าทุ่งที่เป็นที่ราบ
พอเปิดประตูรถลงมาเท่านั้นแหละ
โอ้โห..ลมแรงมากและหนาวมาก
ยืนนิ่งๆเพื่อปรับตัวซักพักคนดูแลไร่ก็เชิญชวนให้ชมได้ตามสบายแถมให้ยืมโต๊ะ,เก้าอี้
มาต่อให้ถ่ายภาพอีก
แสงแดดอ่อนๆช่วง8โมงกว่าๆกำลังสวย
แต่ลมแรงมากต้องคอยหาจังหวะที่ลมสงบช่วงสั้นๆเป็นจังหวะกดชัตเตอร์
ใช้เวลาอยู่กับทุ่งนี้ถึง9โมงจึงออกเดินทางต่อ
ตลอดสองข้างทางมีแต่ทานตะวันทั้งนั้นครับ
บางทุ่งก็กำลังสวย
บางทุ่งยังเล็กและบานไม่เต็มที่แต่ก็มีไม่น้อยที่เหี่ยวเฉาหมดแล้วสรุปว่าถ้าใครคิดจะไปเที่ยวชมตอนนี้น่าจะยังทันและมีให้ดูอีกเยอะคาดว่าไม่เกิน15
มค. 43
นี่หมดแน่ๆไม่ต้องไปแล้วครับ
แต่ก็ได้ข่าวจากคนแถวนั้นมานะครับว่าทางจังหวัดเริ่มส่งเสริมให้ชาวไร่ทานตะวัน
ปลูกพันธ์ที่ออกดอกตลอดปีหลังจากเก็บผลผลิตจากพันธุ์ที่ปลูกเพื่อส่งทำนํ้ามันแล้ว
แทนที่จะไปปลูกพืชไร่อย่างอื่นก็หันมาปลูกทานตะวันเพื่อการท่องเที่ยวที่ออกดอกได้ทั้งป(ีแต่นำไปใช้ทำนํ้ามันได้ไม่ดี)
โดยเฉพาะไร่ที่มีพื้นทีภูมิทัศน์สวยงามและติดถนนสายหลักๆมีแนวโน้มว่าจะเข้าร่วมโครงการกันแยะเชียวครับ
ก็ดีเหมือนกันนะครับจะได้มีโอกาสได้ดูกันตลอดปีเป็นการสร้างรายได้แบบการเกษตรเพื่อการท่องเที่ยวอย่างที่ฮอลแลนด์และนิวซีแลนด์ไงล่ะครับแค่ของเราจะน่ากลัวกว่าอยู่หน่อยก็ตรงที่เวลาหน้าร้อนนี่ละครับ
แถวนี้ออกจะดูแห้งแล้งหน่อยแถมนํ้าตกแถวมวกเหล็กก็ไม่ค่อยจะมีนํ้า
รายได้ของชาวไร่ที่หันมาทำมาค้าขายกับนักท่องเที่ยวอาจจะน้อยกว่าที่คิดเอาไว้หรือไม่
จะคุ้มกับสภาพดินที่ควรจะได้พักเพื่อรอการปลูกพืชหมุนเวียนที่เกิดประโยชน์กับการปลูกทานตะวันในฤดูหน้าหรือไม่
คงต้องลองกันดูครับในเมื่อมันมีดีมีเสียไปคนละอย่างแบบนี้
อีกอย่างที่น่ากลัวมากคือนโยบายของภาครัฐที่มักจะมองเรื่องของเอกชน(ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน)เป็นเรื่องเล็กน้อยไปซะหมด
แต่ในความคิดของผมว่าน่าลองดูซักปีสองปีนะครับถ้าไม่เวอร์คก็กลับไปตามวิถีเดิมคือให้มีเทศกาลเที่ยวทุ่งทานตะวันกันปีละครั้งเดียวเหมือนเดิมก็ดูจะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เกิดคุณค่าได้ดีทีเดียว
ทำนองเดียวกับทุ่งบัวตองที่แม่ฮ่องสอนไง
เฮ้อ...เที่ยวต่อดีกว่านะครับที่นอกเรื่องไปมั่งก็เพราะคิดว่าเป็นอีกมุมมองที่น่าสนใจและผมเองก็เพิ่งรู้มาเหมือนกันน่ะครับ
เอาเป็นว่าระหว่างทางผมก็แวะไปเรื่อยละครับทุ่งไหนสวยทำเลเหมาะก็แวะถ่ายภาพกันซะหน่อย
จนมาถึงช่วงท้ายๆกอ่นจะถึงเขื่อนป่าสักฯนี่ก็ยังมีอีกหลายทุ่งและผู้คนก็เยอะกว่าที่ผ่านมา
มีบรรดาพ่อค้าแม่ขายมาจับจองพื้นที่ขายของกันแต่เช้า
บางทุ่งก็เก็บสตางค์คนที่จะเข้าไปเดินเที่ยวในไร่คนละ2บาท
ไม่เป็นไรครับไม่ว่ากันอยู่แล้ว
แต่พอยิ่งสายผู้คนยิ่งมากนี่ขนาดวันธรรมดานะเนี่ยะ
พอมาถึงเขื่อนป่าสักฯยิ่งแล้วใหญ่โอ้โห..ลานจอดรถขนาดใหญ่เต็มแน่นขนัด
มองไปบนสันเขื่อนผู้คนมากมายจริงๆ
นี่ถ้าขืนมาวันหยุดละก็สงสัยจะแย่เหมือนกัน
เอ้า..
ไหนๆมาถึงแล้วก็เดินเที่ยวซะหน่อย
วันนี้ลมแรงและอากาศหนาวมาก
ดูๆแล้วก็ยอมรับครับว่าสวยและบรรยากาศดีมาก
น่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีอนาคตสดใสมากเชียวละครับ
หลังจากเดินเตร็ดเตร่อยู่ซักพักผมก็ขับรถกลับ |